การเลือกชนิดของวัสดุ ให้เหมาะสมกับงานถมที่ดิน

ลูกค้าหลายๆ ท่าน ยังอยู่ในช่วงการตัดสินใจว่า ควรจะใช้วัสดุประเภทไหน ในการถมที่ดินของท่าน ซึ่งวัสดุมีหลายชนิด และ หลายราคา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของพื้นที่ ซึ่งเป็นตัวแบบของระยะทางในการส่ง

มีคำถามบ่อยครั้งว่าจะถมด้วยดินประเภทไหน แต่มีอย่างเดียวที่จะช่วยให้ตัดสินใจได้ คือ สิ่งปลูกสร้างที่ต้องการจะสร้างนั้นคืออะไร

 


สำหรับปลูกสร้างบ้าน ==> ดินถมทั่วไป, ดินดำ, หน้าดิน

ส่วนใหญ่ลูกค้าจะมีเป้าหมาย ถมดิน เพื่อปลูกสร้างบ้าน ในส่วนนี้นมีคำถามจากลูกค้าที่ต้องการอยู่สองส่วนคือ “ดินประเภทไหน ที่ปลูกต้นไม้ได้ และ ดินชนิดไหนที่บดอัดแน่นสำหรับการปลูกสร้างบ้านได้” ซึ่งจริงๆ แล้วยังขาดส่วนสำคัญอีกหนึ่งเรื่อง คือ “เมื่อถมที่ดินเสร็จแล้ว จะสร้างเมื่อไร” ดังนั้นในการถมดินนี้ จะสามารถแบ่งแยกดินออกได้เป็นสองส่วน คือ การรีบปลูกสร้างทันที และ การถมดินทิ้งไว้เพื่อปลูกสร้างในภายหลัง

  • ถมดินเตรียมเพื่อปลูกสร้างในอนาคต ไม่น้อยกว่า 1 ปี จะได้ดินคุณภาพที่ดีกว่า ปลูกต้นไม้ได้ และ ราคาถูกกว่า คือ ดินถมทั่วไป ดินดำ หน้าดิน
  • ถมดินปลูกสร้างทันที วัสดุที่ใช้จะเป็นดินที่ปลูกต้นไม้ค่อนข้างยาก และ ราคาในการถมสูงกว่า เช่น ดินดาน ดินลูกรัง

 

ถมดิน

ถมดินปลูกบ้าน

ถมที่ดิน

ดินถมทั่วไป ถมสร้างบ้าน

 

สำหรับการถมเพื่อขาย จะเน้นในเรื่องราคาในการถม ซื่งทางเราขอแนะนำ ดินถมทั่วไป ซึ่งเป็นดินราคาถูก ถมทิ้งไปนานก่อนการปลูกสร้าง และ สามารถพัฒนาหรือปรับปรุงพื้นที่ในการบดอัดแน่น เพื่อทำสิ่งปลูกสร้างได้เกือบทุกประเภท เช่น บ้าน โรงงาน โกดัง ลานจอด และ อื่นๆ

 

ดินดาน ดีหรือไม่ สำหรับการสร้างบ้าน ส่วนใหญ่งานหมู่บ้านใหญ่ หรือ พื้นที่ที่มีความลึกมากๆ ในการถมจะใช้ดินดานในการถม จุดสำคัญที่ใช้ดินดาน เนื่องจากดินดานมีความแห้ง และ สามารถบดอัดได้ สามารถขึ้นงานก่อสร้างได้เลย แต่ ปลูกต้นไม้ไม่ค่อยดี การพัฒนาดินดานให้ปลูกต้นไม้ได้ดีค่อนข้างยาก


สำหรับการทำโกดัง โรงงาน ==> ดินลูกรัง, ดินดาน, ทรายถม, ทรายขี้เป็ด

พื้นที่แบบนี้ ไม่เน้นการปลูกต้นไม้ ต้องการบดอัดดินแน่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเทปูน ลานจอดรถ ลานขนส่ง ต่างๆ พร้อมขึ้นงานโครงสร้างได้ง่าย และทันที ซึ่งทางเราแนะนำ วัสดูที่สามารถบดอัดแน่นได้ดี ดินลูกรัง ดินดาน ราคาค่าถมจะมีราคาสูงกว่า ดินถมทั่วไป เนื่องจาก เครื่องจักรใหญ่ ในการบดอัดวัสดุ สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพฯ การส่งขนส่งวัสดุเข้ามามีระยะทางไกล เพราะบ่อดินส่วนใหญ่ อยู่ขอบนอกของกรุงเทพฯ

งานถมดินลูกรัง เพื่อทำโรงงาน

งานทำขอบข้างคลอง ถมดินลูกรัง

ดินลูกรัง

ถมดินลูกรัง ทำโรงงาน

 

หมายเหตุ : ดินลูกรัง ปลูกต้นไม้ได้ยากมาก แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการขุดดินออกบ้างส่วน และเติมดินที่ปลูกต้นไม้ได้ และ ปุ๋ยลงไป ก็จะสามารถปลูกต้นไม้ได้บ้างส่วน


สำหรับทำลานจอดรถชั่วคราว ลาดยาง ปูน ถนนทางเข้า ==> ดินลูกรัง, หินคลุก, เศษอิฐหัก

การทำลานจอด จะมีการทิ้งน้ำหนักปูน, น้ำหนักรถ, สินค้า หรือ วัสดุลงบนดินโดยตรง ดั้งนั้นการจะทำลานจอดรถให้ดี จะขึ้นกับความหนาของวัสดุและชนิดของวัสดุ เพื่อรองรับน้ำหนัก แต่ในกรณีต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ซื่งจะมีผลเสียทำให้เสียค่าใช้จ่ายซ่อมแซมในภายหลัง มาลองวิเคราะห์วัสดุที่สามารถทำลานจอดรถได้

ดินธรรมดา สามารถจอดรถได้ ตอนแห้งสนิท แต่มีปัญหา ตอนที่ฝนตก ซึ่งเมื่อดินโดนน้ำ จะมีการอ่อนนุ่ม และ สามารถเปลี่ยนรูปได้ ถ้าทิ้งไว้นานหญ้า หรือ ต้นไม้ใหญ่จะขึ้น ไม่เหมาะสมที่จะเป็นชั้นบนของพื้นผิวทาง แต่ราคาถูก จึงใช้เป็นชั้นล่าง ในกรณีที่พื้นที่มีความลึก

ดินลูกรัง มีความคงทนมากกว่า หรือ การเปลี่ยนรูปน้อยกว่าดินธรรมดา หรือ ดินเหนียว เมื่อมีการโดนน้ำ ซึ่งสามารถ จอดรถ หรือ สัญจรไปมาได้ ในขณะฝนตก แต่จะมีดินติดล้อรถ ค่อนข้างมาก และ มีสีแดง ซึ่งจะทำให้ถนนหลวง เกิดการสกปรก และ มีฝุ่นเมื่อมีแห้ง ควรมีความหนาของดินลูกรัง ไม่น้อยกว่า 50 ซ.ม.

หินคลุก มีความคงทน และ ดีที่สุด สำหรับการทำลานจอดรถชั่วคราว หรือ การรองพื้นเพื่อเทปูน หรือ ลาดยาง ฝุ่นติดล้อน้อย ทนต่อน้ำ ไม่ค่อยเปลี่ยนรูป แต่ราคาหินคลุกแพง จึงควรลองเป็นชั้นสุดท้าย มึความหนา ไม่น้อยกว่า 15 เซ็นติเมตร ขึ้นกับชั้นลองข้างล่าง ว่าเราใช้อะไร

อิฐหัก หรือ อิฐหักผสมดิน วัสดุราคาถูก มีมากในเขตเมือง ซื่งได้มาจากการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น บ้านเก่าเพื่อสร้างบ้านใหม่ อาคารพาณิชย์เก่า การปรับปรุงพื้นที่เก่าเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใหญ่ หรือ ห้างสรรพสินค้าใหม่ คอนโดสูง ส่วนใหญ่จะใช้อิฐหักเพื่อรองพื้นเพื่อเพิ่มความหนาในการรับน้ำหนัก จากนั้นคลุมด้วยหินคลุกอีกทีหนึ่ง (ชั้นที่เป็นหินคลุกจะใช้ความหนา น้อยลง)

 

ถมดินยกระดับเพื่อทำลานจอดรถ

ถมดินเพื่อรองพื้นลานจอดรถ

รับเหมาถมดินลูกรัง

ถมดินลูกรังเพือทำลานจอดรถ

ถมหินคลุกทำลานจอดรถ

ถมหินคลุก บดอัดแน่น


สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ มีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี ดังนั้น การวางแผนถมดิน และลงวัสดุเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต ส่วนใหญ่แล้วเป็นการสิ้นเปลือง และ จะส่งผลให้สิ่งปลูกสร้างปัจจุบัน ไม่มีความมั่นคง